th en

ข้อบังคับ(ไทย)

ข้อบังคับของ มูลนิธิส่งเสริมทีคิวเอ็มในประเทศไทย

หมวดที่ , , , , , , , , , ๑๐ , ๑๑ , บทเบ็ดเตล็ด

 
หมวดที่ ๑
ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
ข้อ ๑. มูลนิธินี้มีชื่อว่า มูลนิธิส่งเสริมทีคิวเอ็มในประเทศไทย ย่อว่า มสท. เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า
Foundation for TQM Promotion in Thailand ย่อว่า FTQM
ข้อ ๒.

เครื่องหมายของมูลนิธินี้คือ

ข้อ ๓.

สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ที่
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
เลขที่ ๗๓/๑ ถนนพระรามที่ ๖ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐

หมวดที่ ๒
วัตถุประสงค์
ข้อ ๔.

วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
๔.๑ ส่งเสริมและผลักดัน การประยุกต์ใช้ TQM ให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาความสามารถด้านการจัดการ อย่างรวดเร็วและเป็นปึกแผ่น เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิผลของชาติในด้านต่อไปนี้

  • ความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
  • การพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน
  • การเพิ่มคุณภาพชีวิตของพนักงานในองค์กรต่างๆ และสิ่งแวดล้อม

๔.๒ ส่งเสริมการศึกษา วิเคราะห์ สถานภาพและปัญหาอุปสรรคของการประยุกต์ใช้แนวคิด TQM
๔.๓ ให้ข้อมูล ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้าน TQM ต่อสาธารณชนและรัฐบาล
๔.๔ เพื่อให้เกิดการสะสมและถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้ที่ได้รับความสำเร็จในการประยุกต์ใช้แนวคิด TQM
ให้เป็นที่รับรู้ เรียนรู้อย่างกว้างขวางทั้งในแวดวงธุรกิจและแวดวงวิชาการ
๔.๕ ส่งเสริมความร่วมมือกับ สถาบัน สำนักงาน สมาคม มูลนิธิ สถาบันวิชาการและภาคเอกชนในการรวบรวม
และพัฒนาองค์ความรู้ในการประยุกต์ใช้ TQM ในองค์กรต่างๆ
๔.๖ สร้างความสัมพันธ์กับงค์กรต่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ
๔.๗ ส่งเสริมงานวัฒนธรรม
๔.๘ ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
๔.๙ ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์การกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์

หมวดที่ ๓
ทุนทรัพย์ ทรัพย์สินและการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ ๕.

ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรกคือ
เงินสด จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท (สองแสนบาทถ้วน)

ข้อ ๖.

มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้
๖.๑ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรม หรือนิติกรรมอื่นๆ โดยไม่ได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้อง
รับผิดชอบในหนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด
๖.๒ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
๖.๓ ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
๖.๔ รายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ

หมวดที่ ๔
คุณสมบัติ และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
ข้อ ๗.

กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
๗.๑ มีอายุไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปี บริบูรณ์
๗.๒ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
๗.๓ ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ

ข้อ ๘.

กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
๘.๑ ถึงคราวออกตามวาระ
๘.๒ ตาย หรือ ลาออก
๘.๓ ขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับข้อ ๗
๘.๔ เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก โดยมี
คะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของคณะกรรมการมูลนิธิ

หมวดที่ ๕
การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๙.

มูลนิธิดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ คน แต่ไม่เกิน ๑๕ คน

ข้อ ๑๐. คณะกรรมการของมูลนิธิประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และกรรมการอื่นๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับข้อ ๙
ข้อ ๑๑. วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้
ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่เลือกตั้งประธานกรรมกรมูลนิธิและกรรมการอื่นๆ ตามจำนวน
ที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ
ข้อ ๑๒. กรรมการดำเนินงานของมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๓ ปี
ข้อ ๑๓. การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม
ข้อ ๑๔. กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ข้อ ๑๕.

ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง ให้กรรมการของมูลนิธิ ที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่กรรมการ ของมูลนิธิต่อไป จนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่

หมวดที่ ๖
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๖. คณะกรรมการมูลนิธิ มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการของมูลนิธิ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และภายใต้
ข้อบังคับนี้ให้มีอำนาจหน้าที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
๑๖.๑ กำหนดนโยบายของมูลนิธิ และดำเนินงานตามนโยบายนั้น
๑๖.๒ ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่างๆ ของมูลนิธิ
๑๖.๓ เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงิน และบัญชีงบดุล รายได้รายจ่ายต่อกระทรวงมหาดไทย
๑๖.๔ ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ และวัตถุประสงค์ของข้อบังคับนี้
๑๖.๕ ตราระบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
๑๖.๖ แต่งตั้งหรือถอดถอน คณะอนุกรรมการขึ้นหนึ่งคณะหรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิ
ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการกิตติมศักดิ์
๑๖.๗ เชิญผู้ทรคุณวุฒิหรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
๑๖.๘ เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
๑๖.๙ เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๖.๑๐ แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าน้าที่ประจำของมูลนิธิ มติให้ดำเนินการตามข้อ ๑๖.๗, ๑๖.๘ และ ๑๖.๙ ต้องเป็น มติเสียงข้างมากของที่ประชุม และที่ปรึกษาตามข้อ ๑๖.๙ ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญ
เท่านั้น
๑๖.๑๑ เป็นผู้แทนของมูลนิธิในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก
ข้อ ๑๗. ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
๑๗.๑ เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๗.๒ สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
๑๗.๓ เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือการลงลายมือชื่อในเอกสารข้อบังคัและ
สรรพหนังสือ อันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือกรรมการมูลนิธิผู้ได้รับ
มอบหมายให้ทำการแทนได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
๑๗.๔ ปฏิบัติการอื่นๆ ตามข้อบังคับและมติของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๑๘. ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิ ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้
หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการ แทน
ข้อ ๑๙. ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ ๒๐. เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประจำของมูลนิธิ ติดต่อประสานงานทั่วไป รักษาระเบียบ
ข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุม
ตลอดจนรายงานกิจการมูลนิธิ
ข้อ ๒๑. เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และเป็น
ไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ ๒๒. สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่นๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่
ให้ชัดเจน
ข้อ ๒๓.

คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่นๆ ของมูลนิธิได้

หมวดที่ ๗
อนุกรรมการ
ข้อ ๒๔. คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอน อนุกรรมการได้ตามความเหมาะสมโดยจะแต่งตั้งให้เป็น
อนุกรรมการประจำห รือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศาเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการหรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ ก็ให้อนุกรรมการแต่งตั้ง
กันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้
ข้อ ๒๕.

อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่ง จนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมาย ให้กระทำส่วนคณะอนุกรมมการประจำอยู่ใน
ตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของ
คณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง และอนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้
๒๕.๑ อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
๒๕.๒ อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิเกี่ยวกับงานได้รับมอบหมาย

หมวดที่ ๘
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๒๖. คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำทุกๆ ปี ภายในเดือนมีนาคม และต้องมี
กรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อย 5 คน จึงจะเป็นองค์ประชุม
ข้อ ๒๗. การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิจำนวนอย่างน้อย 5 คน แสดงความประสงค์ขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้
ข้อ ๒๘. กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดไว้ ในส่วน ที่เกี่ยวข้องกับการประชุม ให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเอง และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์ประชุมให้ใช้ข้อ ๒๖ บังคับโดยอนุโลม
ข้อ ๒๙. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของ ที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติ ทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุม คณะกรรมการ มูลนิธิในคราวต่อไป ถ้ามติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำ หรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
ข้อ ๓๐.

ในกรประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือประธานที่ประชุม มีอำนาจ เชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ หรือผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้

หมวดที่ ๙
การเงิน
ข้อ ๓๑. ประธานกรรมการมูลนิธิ รือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทนมีอำนาจอนุมัติสั่งจ่ายเงินได้
คราวละไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจาก
คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก
ข้อ ๓๒. เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดย่อยไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท (สามหมื่นบาทถ้วน)
ข้อ ๓๓. เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาลให้การค้ำประกัน แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ ๓๔. การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วสั่งจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทนกับ เลขานุการ หรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ ๓๕. การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงาน ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุน เงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนา ให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ และรายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
ข้อ ๓๖.

ให้คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดรอบระยะเวลาบัญชี และจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิในรอบระยะเวลา บัญชีที่ผ่านมา เสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี

หมวดที่ ๑๐
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ
ข้อ ๓๘.

การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้ โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิ เข้าประชุมไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมด และการอนุมัติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า สามในสี่ของจำนวนกรรมการที่เข้าร่วมประชุม

หมวดที่ ๑๑
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ ๓๙. ถ้ามูลนิธิต้องการล้มเลิกไปโดยมติของคณะกรรมการ หรือโดยเหตุผลใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลือ อยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิแก่มูลนิธิอุตสาหกรรมพัฒนา และ มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่ง ประเทศไทย มูลนิธิละครึ่งหนึ่ง
ข้อ ๔๐.

การสิ้นสุดมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิให้ต้องศาลสั่งเลิกด้วย เหตุต่อไปนี้
๔๐.๑ เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียน จัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำสั่งเต็มจำนวน
๔๐.๒ เมื่อกรรมการมูลนิธิจนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
๔๐.๓ เมื่อมูลนิธิไม่อาจสรรหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
๔๐.๔ เมือมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ

บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ ๔๑. การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัย ให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของจำนวนกรรมการ ที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ ๔๒. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับ ในเมื่อข้อบังคับของมูลนิธิมิได้ กำหนดไว้
ข้อ ๔๓.

มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกันหรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตาม
วัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง